
April 24, 2025
กัณฑ์ที่ 8 กุมาร (ทารกปัพพะ หรือ กุมารปัพพะ ประกอบด้วยคาถา 121 คาถา)
กัณฑ์ที่ 8 กุมาร (ทารกปัพพะ หรือ กุมารปัพพะ ประกอบด้วยคาถา 121 คาถา)
ดร. พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ ผู้เขียน
ว่าด้วย เมื่อชูชกมาขอพระโอรส พระเวสสันดรได้ บริจาค 2 กุมาร แก่ชูชก
บาลีว่า
คาถาที่ 568 (1158) อุฏฐาหิ ชาลิ ปติฏฺฐ โปราณํ วิย ทิสฺสติ
พฺราหฺมณํ วิย ปสฺสามิ นนฺทิโย มาภิกีรเร ฯ
(แปล) ดูกรพ่อชาลี เจ้าจงลุกขึ้นยืนเถิด การมาของพวกยาจกในวันนี้ปรากฏเหมือนการมาของพวกยาจกครั้งก่อนๆ พ่อเห็นเหมือนดังพราหมณ์ ความชื่นชมยินดีทำให้พ่อเกษมศานติ์
คาถาที่ 688 (1182) สูนา จ วต โน ปาทา พาฬฺหํ ตาเรติ พฺราหฺมโณ
อิติ ตตฺถ วิลปึสุ กุมารา มาตุคิทฺธิโน ฯ
(แปล) เท้าทั้งสองของเรา ฟกบวมหนอ พราหมณ์ก็เร่งให้เรารีบเดิน พระกุมารทั้งสองทรงรักใคร่ในพระมารดา ทรงกรรแสงพิลาปอยู่ ณ ที่นั้น ด้วยประการดังนี้
ความไทย
เมื่อชูชกเดินทางตามที่อจุตฤาษีแนะนํา เวลาเย็นก็เข้าถึงเขาวงกต ใกล้อาศรมพระเวสสันดรสมคิด แกก็ดีใจมาก ตรึกตรองหาโอกาสจะเข้าพบพระเวสสันดร เห็นว่า เวลานี้พระนางมัทรีกลับจากป่า หากไปขอจักไม่สําเร็จ ควรไปเวลาเช้าเมื่อพระนางมัทรีเข้าป่าแล้ว ครั้นขอสองกุมารได้แล้ว ก็จะรีบกลับ ก่อนพระนางมัทรีกลับจากป่า ดําริแล้วก็หลบเข้าไปนอนในซอกเขาเพื่อลี้ภัยจากสัตว์ร้าย
คืนนั้นพระนางมัทรีเห็นสุบิน(ฝัน)ร้าย เป็นลางบอกให้รู้ล่วงหน้าว่า จะพลัดพรากจากพระโอรส ในพระสุบินมีว่า “มีชายคนหนึ่งผิวดำ นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดสองผืน หูทั้งสอง ทัดดอกไม้สีแดง มือถืออาวุธตะคอกขู่ มาเข้าสู่บรรณศาลาจับพระนางที่ชฎา ฉุดคร่ามาจนพระนางล้มหงายแล้วควักดวงพระเนตรทั้งสอง ตัดพระพาหาทั้งสอง แหวกพระอุระถือเอาเนื้อพระหทัยที่มีหยาดพระโลหิตไหลอยู่ แล้วหลีกไป” พระนางมัทรีสะดุ้งตื่นบรรทม ทั้งตกพระหทัยทั้งสะดุ้งหวาดกลัว ทรงรำพึงว่า เราฝันร้ายจึงไปทูลเล่าความฝันกับพระเวสสันดร ทูล ขอให้ทรงแก้ความฝัน พระเวสสันดรก็ไม่ทรงแก้ ตรัสบ่ายเบี่ยงว่า มาตกระกําลําบากหลับนอนไม่ผาสุก เหมือนอยู่วัง ก็ฝันไปตามสภาพยากไร้
พระนางมัทรีหาแน่พระทัยเชื่อไม่ ดังนั้น ครั้นรุ่งเช้าได้เวลาจะเข้าป่า เป็นห่วงพระโอรสจึงได้พาพระลูกเจ้าทั้งสององค์มาฝากพระเวสสันดรให้ทรงช่วยดูแล ทั้งกําชับพระโอรสไว้แข็งแรงมิให้ออกนอกบริเวณพระอาศรม จึงได้เข้าป่าแสวงหา ผลไม้ รากไม้ หัวมัน อันเป็นกิจวัตรประจําวันที่ทรงทําอยู่
ฝ่ายชูชก ครั้นเห็นว่า เวลานี้พระนางมัทรีเข้าป่าแล้ว จึงได้เดินทางเข้าไปเฝ้าพระเวสสันดรที่อาศรม พระเวสสันดร ให้พระชาลีออกไปรับแขก แต่ชูชกตะหวาดและตะเพิดให้หลีกไป เมื่อมาถึงก็ชักแม่น้ำทั้ง 5 ทูลขอสองกุมาร พระเวสสันดรก็จะประทานให้ แต่ตรัสว่า ขอให้รอพบพระนางมัทรีก่อน ขอให้ชูชกค้างสัก 1 ราตรี แต่ชูชกไม่เห็นด้วย ทูลว่า ถ้ารอพระนางมัทรีมาก็จะเป็นเหตุขัดข้อง
พระเวสสันดรรับสั่งว่า เมื่อเอาสองกุมารไป จงเอาไปถวายพระเจ้าสัญชัย ณ พระนครสีพี จะได้รับพระราชทานรางวัลมาก
ชูชกค้านว่า ถ้าไปพบพระเจ้าสัญชัย อาจถูกจับว่าไปลักพระเจ้าหลานมา กลับจะเป็นโทษ ต้องการจะเอาไปใช้เป็นทาสเอง
ขณะที่ชูชกกำลังทูลขอสองกุมารอยู่นั้น ชาลี-กัณหาสองกุมารได้ยิน กลัวจะถูกชูชกเอาตัวไป จึงพากันหนีลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำ เอาใบบัวบังศีรษะเสีย
เมื่อชูชกไม่เห็นสองกุมาร ก็ทูลตัดพ้อพระเวสสันดร จนท้าวเธอต้องเสด็จไปติดตามหา ครั้นทราบว่ากุมารทั้ง 2 องค์ ไปซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำ ก็ตรัสเรียกขึ้นมา แล้วตรัสปลอบโยน ให้หายกลัวและเศร้าโศก พร้อมกับคาดราคาโดยสั่งชาลี กุมารไว้ว่า
ถ้าจะไถ่ตัวให้พ้นจากทาส สําหรับชาลีกุมารต้องไถ่ ด้วยทองแท่งหนักหนึ่งหมื่นห้าพันตําลึง(15,000) ส่วน กัณหานั้น ต้องไถ่ ด้วยทาสชายหญิง ช้าง ม้า โค รถ อย่าง 100 และทองคำแท่งหนัก ห้าพันตําลึง(5,000) แล้วทรงพามามอบโอรสให้ชูชกไป
สองกุมารถูกชูชกมัดมือ เฆี่ยนตี ลากจูงไปต่อหน้าต่อตา เมื่อสองกุมารอิดเอื้อนร้องไห้ไม่ด่วนตามไปตามประสงค์ของแก ก็ตีด่าตามประสาคนสันดานทราม ถึงกับดาลใจพระเวสสันดร ให้พลุ่งด้วยโทสะเกิดโทมนัส น้อยพระทัย คิดจะประหารชูชก เอาพระโอรสอื่นมาเสีย แต่แล้วก็กลับหักพระทัยด้วยขันติคุณไว้ได้ ปล่อยให้ชูชกพาสองกุมารไปตามปรารถนา[1]
สองกุมารร่ำร้องขอความเมตตาจากพระบิดา แต่พระบิดาก็วางอุเบกขา
พระชาลีก็ตัดพ้อพระบิดาว่า “นรชนบางพวกในโลกนี้ กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า ผู้ใดไม่มีมารดาของตน ผู้นั้นเหมือนไม่มีทั้งบิดามารดา”
ส่วนพระนางกัณหา ตัดพ้อพระเวสสันดรด้วยความน้อยพระทัยความว่า “ข้าแต่เสด็จพ่อ พราหมณ์นี้ตีหม่อมฉันด้วยไม้ เหมือนนายตีทาสีที่เกิดในเรือน ข้าแต่เสด็จพ่อ ธรรมดาว่า พราหมณ์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม แต่ตาพราหมณ์นี้หาเป็นดังนั้นไม่ เป็นยักษ์มาด้วยเพศพราหมณ์ เพื่อจะนำหม่อมฉันสองพี่น้องไปเคี้ยวกิน หม่อมฉันสองพี่น้องอันปีศาจนำไปอยู่ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นหรือไม่หนอ ข้าแต่เสด็จพ่อ ก็ตาพราหมณ์นี้นำหม่อมฉันสองพี่น้อง ไปยังไม่ทันถึงประตูป่าเลย แกมีตาทั้งคู่แดงเป็นเหมือนมีโลหิตไหล เพื่อจะเคี้ยวกิน คือนำไปด้วยหวังว่า จักเคี้ยวกินเสียทั้งหมด พระองค์ก็ทรงเห็น หม่อมฉันสองพี่น้องถูกนำไปเพื่อเคี้ยวกิน หรือเพื่อต้มเสีย ขอพระองค์จงมีความสุขทุกเมื่อเถิด”
เมื่อเห็นหมดที่พึงจริงๆจึงวิงวอนเทพเจ้าให้แจ้งข่าวแก่พระมารดาว่า “ลูกเสด็จมาทางนี้ แม่จงรีบตามมาให้ทันก่อนพราหมณ์ใจร้ายจะพาออกไปจากประตูป่า”
หมายเหตุ
ในฉบับภาษาบาลี กัณฑ์กุมาร ชาลีกล่าวว่า ชูชก มีลักษณะของบุรุษโทษ 18 ประการดังนี้
“พลงฺปาโท อทฺธนโข อโถ โอพทฺธปิณฺฑิโก
ทีโฆตฺตโรฏฺโธ จปโล กฬาโร ภคฺคนาสโก
กุมฺโภทฺโร ภคฺคบิฏฺฐิ อโถ วิสมจกฺขุโก
โลหมสฺสุ หริตเกโส วลีนํ ติลกาหโต
บิงฺคโล จ วินโต จ วิกโฏ จ พฺรหาขโร"
ชูชกเป็นคนอัปลักษณ์ มีอวัยวะเป็นโทษ ถึง 18 ประการ พระชาลีทอดพระเนตรดูก็พบลักษณะร้าย ดังนี้
“ชูชกนี้ประกอบด้วยบุรุษโทษ 18 ประการ คือ 1. ตีนแบ 2. เล็บเน่า 3. มีปลีน่องย้อยยาน 4. มีริมฝีปากบนยาว 5. น้ำลายไหล 6. มีเขี้ยวยาวออกจากริมฝีปากดังเขี้ยวหมู 7. จมูกหัก 8. ท้องโตดังหม้อ 9. หลังค่อม 10. ตาเหล่ 11. หนวดสีเหมือนทองแดง 12. ผมสีเหลือง 13. เส้นเอ็นขึ้นสะพรั่ง เกลื่อนไปด้วยกระดำ 14. ตาเหลือกเหลือง 15. เอวคด หลังโกง คอเอียง 16. ขากาง 17. เดินตีนลั่นดังเผาะๆ 18. ขนตามตัวดกและหยาบ”
ชูชกตามเรื่องในฉบับบาลี สันนิษฐานว่า อาจไม่ได้มีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้ แต่พระชาลี
มองด้วยสายตาของเด็ก เห็นว่า ชูชก มีรูปร่างน่าเกลียด น่ากลัว ซึ่งพระชาลีเองเมื่อออกไปต้อนรับ ก็ถูกชูชก ขู่ตะคอก ตะหวาดไล่ ก็รู้สึกเกรงกลัวชูชกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมองเห็นเช่นนั้น


