
April 13, 2025
พระอธิวัฒน์ รตนวณฺโณ, ดร. Phra Athiwat Ratanavanno, Dr. ประเพณีลอยโคม เป็นประเพณีพื้นบ้านที่สำคัญของชาวล้านนา ซึ่งจัดขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสอง โดยมีลักษณะเฉพาะคือการปล่อยโคมลอยขึ้นไปในอากาศ ไม่ใช่การลอยโคมตามลำน้ำหรือลอยกระทง โคมลอยดังกล่าวมักทำจากกระดาษสา ติดบนโครงไม้ไผ่ และตกแต่งให้มีสีสันสวยงาม ภายในติดตั้งตะเกียงไฟไว้ตรงกลาง เพื่อให้เกิดไอร้อนเป็นแรงผลักดันให้โคมลอยขึ้นสู่อากาศ ตามความเชื่อของชาวล้านนา การจุดและปล่อยโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นการปลดปล่อยความทุกข์โศกและเหตุร้ายต่าง ๆ ออกจากตนเองให้ลอยไปกับกระแสลม ทั้งยังถือเป็นการบูชา พระเกศแก้วจุฬามณี บนสรวงสวรรค์ ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง นอกจากจะมีการตั้งธรรมหลวงแล้ว ชาวล้านนาที่เกิดในปีจอจะนิยมเดินทางไปนมัสการพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นสถานที่บรรจุมวยผมของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนทรงผนวช โดยเชื่อกันว่าพระธาตุดังกล่าวประดิษฐานอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงมีการใช้โคมลอยเป็นเครื่องบูชาแทนการไปนมัสการจริง โดยพยายามปล่อยโคมให้ลอยไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในค่ำคืนของงานประเพณีลอยโคม จะมีการจุดโคมและปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสวไปด้วยแสงของโคมลอย ซึ่งสร้างความงดงามตระการตา ทั้งยังส่งเสริมให้ประเพณีลอยโคมเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในฐานะประเพณีที่สะท้อนเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวล้านนาได้อย่างเด่นชัด โคม หมายถึง ตะเกียง หรือสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้สำหรับจุดไฟให้แสงสว่าง ซึ่งในอดีตชาวล้านนาโบราณยังมิได้มีการใช้โคมอย่างแพร่หลาย โดยส่วนใหญ่จะพบเฉพาะในราชสำนัก วัดวาอาราม หรือในบ้านของผู้มีฐานะดีเท่านั้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นทรัพยากรที่หาได้ยากในสมัยนั้น (สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 6, 2542: 1281) สำหรับชาวบ้านทั่วไป มักใช้วิธีก่อไฟด้วยฟืนขนาดใหญ่เพื่อให้แสงสว่างภายในเรือน และใช้วัสดุธรรมชาติที่เรียกว่า ขี้ย้า (อ่านว่า “ขี้ญ้า”) ซึ่งได้แก่ชันผสมกับเศษไม้ผุ ห่อด้วยใบตองแล้วมัดเป็นท่อน สำหรับใช้จุดไฟในบริเวณที่ไม่สามารถก่อกองไฟได้โดยตรง นอกจากนี้ ในการเดินทางยามค่ำคืน นิยมใช้ ไม้แคร่ ซึ่งหมายถึงไม้ไผ่ที่ทุบแล้วมัดรวมกันเป็นเปลาะ ๆ ใช้สำหรับจุดไฟ โดยทั้งขี้ย้าและไม้แคร่จำเป็นต้องเขี่ยไฟให้ลุกอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สามารถใช้แสงสว่างได้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงก่อนถึงวันเพ็ญเดือนยี่ ชาวล้านนาที่มีความสามารถด้านงานช่างมักจะประดิษฐ์โคมในรูปทรงต่าง ๆ เพื่อใช้ในการจุดผางประทีปบูชา ณ วัดในวันดังกล่าว โดยนิยมแขวนโคมไว้บนค้างโคมรอบพระธาตุเจดีย์ หน้าและภายในวิหาร หรือในปัจจุบันอาจพบการแขวนโคมเพื่อประดับตกแต่งตามอาคารและบ้านเรือนทั่วไป โคมล้านนามีลักษณะหลากหลายตามภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละท้องถิ่น ตัวอย่างของโคมโบราณที่พบทั่วไป ได้แก่ โคมรังมดส้ม (โคมธรรมจักร), โคมดาว, โคมไห, โคมเงี้ยว (โคมเพชร), โคมกระบอก, โคมหูกระต่าย, โคมดอกบัว, โคมญี่ปุ่น และโคมผัด เป็นต้น ในขณะที่โคมยุคใหม่ได้ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น เช่น โคมรูปจรวด รูปเครื่องบิน โคมรูปทรงร่ม หรือโคมปราสาท เป็นต้น โคมเหล่านี้มักใช้โครงสร้างจากไม้ไผ่เฮียะ ดัดขึ้นโครงด้วยมือ แล้วปิดด้วยกระดาษสา กระดาษแก้ว หรือผ้าดิบ ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยลวดลายจากกระดาษสีเงินและสีทองอย่างประณีตและงดงาม ปัจจุบัน หมู่บ้านเมืองสาตร ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายโคมที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ โคมยี่เป็งแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ทั้งด้านรูปทรงและลวดลายที่ใช้ประดับตกแต่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละท้องถิ่น โดยในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโคมยี่เป็งที่ได้รับความนิยมในการใช้งานในปัจจุบัน 1. โคมถือ (Handheld Lantern) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ 1) โคมหูกระต่าย (Handheld Lantern) โคมหูกระต่าย หมายถึง โคมที่มีโครงสร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมสี่ด้าน ติดกำบังด้วยกระดาษสี ลักษณะของโคมคล้ายกับ “หูกระต่าย” โดยนิยมใช้ในช่วงวันเพ็ญเดือนยี่เป็ง ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวล้านนาจะถือโคมหูกระต่ายเดินในขบวนแห่เนื่องในเทศกาลลอยกระทง ภายในโคมจะมีการจุดเทียนไขเพื่อให้แสงสว่างขณะเดินขบวน เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแห่แล้ว มักนำโคมไปปักประดับไว้โดยรอบบริเวณอุโบสถ วิหาร ศาลา พระธาตุ หรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในบางกรณี หากนำโคมหูกระต่ายมาใช้ในงานสมโภชหรือกิจกรรมเฉลิมฉลอง มักตกแต่งโคมให้งดงามเป็นพิเศษ เช่น การออกแบบให้เป็นรูปกลีบบัวเพื่อปักประดับข้างเวที และภายหลังจะนำไปถวายบูชาพระประธานในพระวิหาร โคมหูกระต่ายถือเป็นโคมแบบถือสำหรับขบวนแห่ในงานประเพณียี่เป็งของชาวล้านนา และต่อมามักนำไปประดับตามบริเวณรอบโบสถ์ วิหาร หรือแม้แต่บริเวณหน้าบ้านเพื่อความสวยงาม โคมหูกระต่ายมักมี 4 ด้าน อันสื่อความหมายถึง พรหมวิหารสี่ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่อเป็นสิริมงคลและสร้างบรรยากาศที่สว่างไสว และเปี่ยมด้วยพุทธศิลป์ ณ สถานที่ที่จัดแสดง 2) โคมดอกบัว (Lotus Lantern) ดอกบัวเป็นพืชที่มีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่สมัยพุทธกาล ตามที่ปรากฏในพุทธประวัติ ดอกบัวปรากฏอยู่ในเหตุการณ์สำคัญหลายช่วงของพระพุทธเจ้า ทั้งในการประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพาน โดยธรรมชาติของดอกบัวนั้นได้สะท้อนถึงปรัชญาการดำเนินชีวิตในทางพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ในครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ได้ทรงพิจารณาว่ามนุษย์ในโลกมีความแตกต่างกัน บางพวกสามารถแนะนำสั่งสอนได้ บางพวกไม่อาจสอนได้ เปรียบได้กับดอกบัว 4 เหล่าที่ปรากฏในคัมภีร์ ซึ่งใช้เปรียบบุคคลตามระดับปัญญาในการเข้าถึงธรรม การที่พุทธศาสนิกชนชาวล้านนาใช้ดอกบัวถวายเป็นพุทธบูชา หรือประดิษฐ์โคมไฟเป็นรูปดอกบัวเพื่อถวายบูชาพระพุทธรูปนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งจิตใจอันบริสุทธิ์เปรียบได้กับดอกบัวที่แม้จะงอกขึ้นจากโคลนตม แต่ไม่เปื้อนโคลน เมื่อโผล่พ้นน้ำขึ้นมารับแสงแดด ก็ยังคงความงดงาม ดุจเดียวกับผู้ที่แม้จะเกิดอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกิเลส แต่หากเข้าถึงหลักธรรม ก็สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์และบรรลุธรรมได้เช่นกัน 2. โคมลอย (Floating Lantern หรือ Khom Loi) โคมลอย เป็นเครื่องตามไฟชนิดหนึ่งที่จุดไฟแล้วปล่อยให้ลอยขึ้นสู่อากาศ โดยมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ถุงลม หรือทรงกระบอก ก้นโคมกว้าง ส่วนปากโคมจะแคบ มีเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 75 เซนติเมตร และความสูงระหว่าง 1.40–1.50 เมตร โครงสร้างของโคมลอยทำจากกระดาษว่าวที่บางเบา นำมาต่อกันเป็นจำนวนมาก โดยปกติใช้ไม่ต่ำกว่า 30 แผ่น เพื่อให้เกิดแรงลอยตัวได้ดีเมื่อติดไฟ โคมลอยประเภทนี้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเพณียี่เป็งของล้านนา คำว่า “โคมลอย” อาจหมายถึงสองประเภท ได้แก่ 1) โคมที่จุดไฟและวางบนกระทงเพื่อปล่อยลอยไปตามสายน้ำ 2) โคมที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยใช้พลังงานความร้อนจากควันไฟเป็นแรงผลักดัน โคมลอยแบบที่ปล่อยขึ้นฟ้า บางครั้งในช่วงกลางวันเรียกว่า “ว่าวฮม” หรือ “ว่าวควัน” โดยอาศัยการรมควันร้อนเข้าไปในตัวโคมทีละน้อยจนกระทั่งโคมพองตัว เกิดความดันที่สามารถดึงโคมให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ (กระทรวงวัฒนธรรม, 2560: ออนไลน์) ในทางความเชื่อของชาวล้านนา การปล่อยโคมลอยถือเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีจอ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าเป็นการบูชา “พ่อเกิดแม่เกิด” หรือเทพผู้คุ้มครองตามคติพื้นบ้านล้านนาอีกด้วย ในอดีต โคมลอยยังเคยถูกใช้ในทางการทหารในช่วงสงคราม โดยประดิษฐ์ให้มีเชื้อเพลิงภายใน เมื่อจุดไฟและปล่อยโคมขึ้นฟ้า เมื่อธูปไหม้จนถึงจุดหนึ่ง ไฟในหม้อจะระเบิด เผากระดาษโคมให้กลายเป็นลูกไฟตกลงมายังพื้นที่ของฝ่ายข้าศึก ก่อให้เกิดความเสียหาย ปัจจุบัน โคมลอยนอกจากจะมีจุดประสงค์เชิงศาสนาและพิธีกรรมแล้ว ยังนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายเพื่อความสนุกสนานและความสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลยี่เป็งหรือวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งอากาศมักปลอดโปร่งและเหมาะกับการปล่อยโคมให้ลอยสูงและมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งยังถือว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์อีกด้วย (มณี พยอมยงค์, 2533: 49) ลักษณะของโคมลอยไม่มีแบบแผนตายตัว มักออกแบบโดยเลียนแบบธรรมชาติหรือสิ่งของใกล้ตัว เช่น รูปลูกฟัก ลูกแตง ทรงกระบอก ทรงกลม ทรงเหลี่ยม กระติ๊กข้าว หรือรังมด เป็นต้น โดยใช้กระดาษสามาต่อขึ้นรูปตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้ทำ ก่อนจะรมควันไฟเข้าไปและปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า ในเวลาต่อมา โคมลอยได้พัฒนาให้มีความสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น โดยการประดับเพิ่มเติมด้วยดอกไม้ไฟ ประทัด พลุสี ควันสี เศษกระดาษสี กระดาษเงิน กระดาษทอง ตุ๊กตา ร่ม หรือแม้กระทั่งเครื่องร่อนและเครื่องบินกระดาษ ทั้งนี้วัสดุที่นำมาใช้ต้องมีน้ำหนักเบา เพื่อให้โคมสามารถลอยขึ้นไปในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. โคมไฟ (Floating Lantern หรือ Khom Fai) โคมไฟ หมายถึง โคมประเภทหนึ่งที่ใช้สำหรับปล่อยในเวลากลางคืน โดยมีกรรมวิธีการประดิษฐ์และการปล่อยที่คล้ายคลึงกับโคมลอยในเวลากลางวัน ต่างกันเพียงในรายละเอียดของเชื้อเพลิงที่ใช้ โดยโคมไฟจะใช้ท่อนไม้พันด้วยด้ายเป็นก้อนกลม ชุบด้วยน้ำมันยางหรือน้ำมันขี้โล้ให้ชุ่ม แล้วนำไปติดตั้งไว้ที่ฐานของโคมเพื่อจุดไฟ เมื่อจุดแล้ว โคมจะค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นไปตามแรงลม (นิคม พรหมมาเทพย์, 2542: 25-30) เมื่อโคมไฟลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค่ำคืน จะปรากฏเป็นแสงสว่างคล้ายดวงดาวที่เคลื่อนคล้อยไปในอากาศอย่างสวยงาม ให้ความรู้สึกสงบ งดงาม และศรัทธา ทั้งยังสร้างบรรยากาศแห่งพิธีกรรมได้อย่างมีพลังทางสายตา อย่างไรก็ตาม โคมไฟที่ปล่อยในเวลากลางคืนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หากวัสดุที่ชุบด้วยน้ำมันยังคงติดไฟอยู่ในขณะที่โคมตกลงสู่พื้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความแห้งแล้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดอัคคีภัย หรือสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่นได้ ด้วยเหตุนี้เอง ความนิยมในการปล่อยโคมไฟในเวลากลางคืนจึงลดลงในปัจจุบัน แม้จะเป็นโคมที่มีความงดงามและแฝงด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรม แต่ก็จำเป็นต้องมีการพิจารณาด้านความปลอดภัยควบคู่กันไปด้วย การปล่อยโคมไฟ สมัยโบราณจะมีคนช่วยกันวี (พัด) ให้ลมเข้าสู่ตัวโกมจนปึ๋ง (พอง) แล้วจะจุดไฟให้เปลวไฟนำเอาอากาศขึ้นสู่เบื้องบนของโกมไฟ ตัวโกมไฟจะลอยขึ้น แต่คนจะดึงไว้ก่อนเพื่อทดสอบความดันของลมร้อน ขณะเดียวกันคนที่เหลือจะรีบนำลูกเล่นผูกติดกับสายลวด ปัจจุบันใช้น้ำมันก๊าดผสมกับเทียนขี้ผึ้งต้มชุบด้วยกระดาษทิชชูเป็นเชื้อเพลิงแทน เมื่อจะปล่อยโคมไฟก็จะรมควันเข้าไปในโคมก่อน จนโคมดึงตัว และก่อนจะดึงตัวเพื่อจะลอยขึ้นไปก็จะจุดไฟท่อนไส้ที่ชุบน้ำมันไว้แล้วให้ไฟติดก่อน โดยท่อนไสนี้จะผูกติดอยู่ที่ปากโคมไฟแล้วปล่อยขึ้นไปในท้องฟ้า โคมไฟก็จะลอยตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถูกพัดไปตามกระแสลม และมีแสงไฟลิบๆ อย่างสวยงาม (กระทรวงวัฒนธรรม, 2560: ออนไลน์) 4. โคมแขวน (Hung Lanterns) โคมแขวน (Hung Lanterns) เป็น โคมบูชาพระมีหลายรูปแบบ รูปทรง เช่น โคมแปดเหลี่ยม โคมเงี้ยว โคมกระบอก โคมดาว โคมกระจัง โคมไห โคมเอว แยกได้ดังนี้ โคมธรรมจักร หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โคมเสมาธรรมจักร เป็นโคมที่มีลักษณะเฉพาะเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม ด้านบนของโคมมีส่วนยื่นที่เรียกว่า “หูแมว” หรือในบางพื้นที่นิยมเรียกว่า โคมแปดเหลี่ยม หรือ โคมรังมดส้ม (มดแดง) ตามลักษณะรูปร่าง รูปทรงแปดเหลี่ยมของโคมธรรมจักรมีนัยสำคัญทางพุทธศาสนา โดยสื่อถึง “อริยมรรคมีองค์ 8” ซึ่งเป็นหนทางแห่งความรู้แจ้งในธรรม และเป็นหลักธรรมขั้นสูงที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ชาวล้านนานิยมใช้โคมธรรมจักรในงานประเพณียี่เป็ง หรือในงานตั้งธรรมหลวง (เทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดก) โดยมักนำไปแขวนบูชาตามโบสถ์ ศาลา วิหาร หรือใช้ทำค้างไม้ไผ่ชักรอกแขวนข้างอาคารทางศาสนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ทั้งนี้ โคมธรรมจักรยังได้รับการประดับตกแต่งอย่างวิจิตรเพื่อให้เกิดความงดงามและสว่างไสวในยามค่ำคืน นอกจากนี้ ยังนิยมแขวนโคมธรรมจักรไว้ตามอาคาร บ้านเรือน เพื่อบูชา เทพารักษ์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้คุ้มครองบ้านเรือนและครอบครัว ซึ่งแสดงถึงความผูกพันระหว่างศรัทธาทางศาสนาและคติความเชื่อพื้นบ้านของชาวล้านนาอย่างกลมกลืน 2) โคมต้อง (Khom Tong) คำว่า “ต้อง” ในที่นี้ หมายถึง การตอกลาย หรือ การฉลุลวดลายลงบนกระดาษ โดยใช้เครื่องมือพื้นบ้าน เช่น สิ่วและค้อน เพื่อให้เกิดลวดลายโปร่งแสงสวยงาม โคมต้องจึงเป็นโคมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยลวดลายที่ผ่านกระบวนการฉลุอย่างประณีต ประกอบขึ้นเป็นชั้น ๆ โดยมีโครงสร้างภายใน 3 ชั้น ไล่จากด้านในสู่ด้านนอก และมีองค์ประกอบทั้งหมด 8 ชั้นในแนวดิ่งจากบนลงล่าง โครงสร้าง 3 ชั้นภายในมีความหมายทางธรรม ได้แก่ (1) ชั้นในสุด แทนหลัก ศีล (2) ชั้นกลาง แทนหลัก สมาธิ (3) ชั้นนอกสุด แทนหลัก ปัญญา โดยทั่วไปนิยมใช้กระดาษสีที่แตกต่างกันในแต่ละชั้นเพื่อเพิ่มความงดงาม ทั้งในยามกลางวันและเมื่อจุดไฟในยามค่ำคืน ส่วนองค์ประกอบ 8 ชั้นจากบนลงล่างของโคมนั้น สื่อถึงหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งสะท้อนความศรัทธาและสุนทรียภาพของช่างผู้สร้าง 3) โคมค้าง (อ่าน “โกมก๊าง”) โคมที่จะต้องติดตั้งหรือแขวนไว้บนค้างหรือที่สูง ดวงโคมที่นำมาติดตั้งบนค้างนี้มักทำโครงด้วยไม้ไผ่ปะด้วยกระดาษ เป็นโคมทรงกลมหักมุมที่เรียกกันว่าโคมรังมดส้ม มีประทีปหรือเทียนจุดให้แสงสว่าง ทั้งนี้อาจทำเป็นรูปอื่นอย่างรูปหมี รูปไก่ รูปนกยูง รูปดาวห้าแฉก รูปเครื่องบิน รูปจรวด ก็อาจทำได้ตามที่เห็นว่างาม และยังอาจใช้โคมแบบญี่ปุ่นหรือจีนมาทำโคมค้าง ก็ได้อีกด้วย 4) ค้างโคม โครงสร้างที่ใช้สำหรับแขวนหรือติดตั้งโคม ซึ่งมักประกอบด้วยเสาหรือหลักที่ทำจากไม้ไผ่ โดยมีการออกแบบให้มีกิ่งยื่นออกมาเพื่อใช้แขวนโคม การแขวนโคมนั้นอาจกระทำได้สองวิธี คือ การผูกเชือกไว้ที่ตัวโคมแล้วชักขึ้นไปแขวนกับกิ่งของค้างโคม หรือการนำโคมขึ้นไปแขวนโดยตรงกับกิ่งที่เตรียมไว้ การจุดโคมค้างได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในงานประเพณียี่เป็ง (อ่านว่า “ยี่เปง”) ซึ่งเป็นเทศกาลวันเพ็ญเดือนยี่ตามปฏิทินล้านนา โดยตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในปฏิทินไทยกลาง ในเทศกาลดังกล่าว นิยมมีการจุด ประทีปโคมไฟ รวมถึงการจุด บอกไฟดอก (ดอกไม้เพลิง) และ บอกไฟดาว ซึ่งเป็นพลุที่ยิงขึ้นไปในอากาศให้เห็นเป็นลักษณะคล้ายดาวตกจากท้องฟ้า รวมทั้งการจุดบอกไฟและดอกไม้ไฟประเภทอื่น ๆ อีกมากมายในช่วงเวลาพลบค่ำ การตั้งค้างโคมและการจุดประทีปจึงเป็นกิจกรรมสำคัญที่สื่อถึงความเคารพบูชาในพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งสร้างบรรยากาศแห่งความศรัทธา ความงดงาม และความรื่นเริงตามวิถีของชุมชนล้านนา 5) โคมเงี้ยว (Khom ngeaw) หรือโคมไต (Khom Tai) มีลักษณะเหมือนกับโคมธรรมจักร แต่มีการขึ้นโครงและหักไม้ที่ซับซ้อนกว่าและไม่มีหูโคม เป็นโคมที่มีรูปทรงที่ได้มาจากชาวไทใหญ่ จึงเรียกว่า โคมเงี้ยว ทำค่อนข้างยากกว่าโคมชนิดอื่นๆ เนื่องจากตัวโครงโคมมีลักษณะหักมุมละเอียดซับซ้อน โคมชนิดนี้แม้ไม่ได้ใส่หางประดับก็มีความงดงาม และเมื่อจุดผางประทีปไว้ข้างใน แสงสว่างที่ออกตามเหลี่ยมมุม มีความงดงามมาก โคมกระบอกเป็นโคมประเภทหนึ่งที่มีลักษณะเรียบง่ายและสามารถประดิษฐ์ได้สะดวกกว่าชนิดอื่น โดยใช้ไม้ไผ่ที่เหลาให้แบน กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร หนา 2–3 มิลลิเมตร ดัดขดเป็นวงกลมสองวงที่มีขนาดเท่ากัน เพื่อใช้เป็นโครงสำหรับส่วนหัวและส่วนท้ายของโคม โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร เมื่อได้โครงไม้ไผ่เรียบร้อยแล้ว จะนำกระดาษสาที่มีความกว้างยาวกว่ารอบวงของโครงไม้ไผ่ประมาณ 1–2 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 15–20 เซนติเมตร มาติดเข้ากับโครงโดยใช้กาว จากนั้นจะมีการตกแต่งลวดลายเพิ่มเติมด้วยการตัดกระดาษสีเงิน สีทอง หรือกระดาษสีอื่น ๆ นิยมใช้ลวดลายประดับที่เรียกว่า ลายสร้อยดอกหมาก ส่วนท้ายของโคมหรือก้นกระบอกจะปิดด้วยกระดาษแข็ง เพื่อใช้เป็นที่วาง ผางประทีป ซึ่งใช้จุดไฟถวายเป็นพุทธบูชา โคมกระบอกมีทั้งรูปทรงกลมและทรงสี่เหลี่ยม สำหรับโคมทรงเหลี่ยม บางท้องถิ่นเรียกว่า โคมล้อ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับโคมที่ใช้แขวนติดกับขบวนเกวียนของพ่อค้าที่เดินทางด้วยวัวต่างในยามค่ำคืน ซึ่งนิยมใช้แสงสว่างจากโคมชนิดนี้ในการเดินทาง 7) โคมดาว (Khom Dao) เป็นการคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์โคมเพื่อให้เกิดความหลากหลายในรูปแบบมากขึ้น โดยโคมรูปดาวนั้นจะมีตั้งแต่ห้าแฉกขึ้นไป ตามแต่ความสวยงามและความเหมาะสมของผู้ทำ ตัวโคมทำจากไม้ไผ่เฮียะ หักมุมเป็นห้ามุม ใช้กระดาษสาหรือผ้าติดหุ้มตัวโครง ตัดกระดาษสีเงินสีทองประดับตกแต่งลวดลาย ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยลายดวงตะวัน (พระอาทิตย์) เป็นลายลักษณะรูปกลม เจาะช่องตรงกลางเป็นปล่องสำหรับใส่ผางประทีป เพื่อจุดเป็นพุทธบูชา 8) โคมกระจัง หรือโคมกระจังมงกุฎ มีรูปทรงคล้ายกระจังสวมมงกุฏ เป็นโคมรูปแบบสมัยใหม่ บ้างเรียกโคมไห เพราะขึ้นรูปแบบโคมไห แต่เอาส่วนปลายเป็นส่วนหัว ส่วนหัวเป็นส่วนปลายโคม ส่วนคำว่า กระจัง คือลายไทยรูปแบบหนึ่ง ลักษณะคล้ายกลีบของดอกบัว หรือตาอ้อย ด้านข้างแยกปลายแหลมเหมือนถูกบาก ลายไทยนี้ใช้ประดับตามขอบ เช่น ขอบของธรรมสาสน์ หรือขอบบนของลายหน้ากระดาน ลายกระจังมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น กระจังรวน กระจังปฏิญาณ กระจังใบเทศ กระจังหลังสิงห์ กระจังหู เป็นต้น 9) โคมไห (Khom Hai) หรือ โคมเพชร (Khom Petch) โคมไห หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า โคมเพชร เป็นโคมที่มีลักษณะคล้ายภาชนะประเภท “ไห” โดยส่วนบนหรือปากโคมมีขนาดกว้างกว่าส่วนล่างหรือก้นโคม ด้านบนของตัวโคมหักเป็นมุมหกเหลี่ยม ส่วนก้นโคมหักเป็นมุมสี่เหลี่ยม และด้านบนสุดของโคมประดิษฐ์เป็นรูปสามเหลี่ยมจำนวน 4 แฉก ใช้เป็นหูโคมสำหรับแขวน โครงสร้างของโคมทำจากไม้ไผ่เฮียะ ซึ่งมีลักษณะเรียวยาวอย่างเหมาะสม และประดับตกแต่งด้วยกระดาษสาพร้อมลวดลายพื้นเมืองล้านนาอย่างประณีต บริเวณด้านล่างหรือหางโคมมักตกแต่งด้วยกระดาษที่ตัดเป็นลวดลายอ่อนช้อย สำหรับจุดประทีปใช้บูชาจะมีช่องบริเวณปากโคมเพื่อวาง ผางประทีป โคมชนิดนี้นิยมใช้จุดบูชาในพิธีกรรมทั่วไป และยังมีการใช้ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล คำว่า “โคมเพชร” สื่อถึงความสวยงามสว่างไสว เป็นมงคลต่อผู้ครอบครอง โคมไหยังนิยมมอบเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ โดยมีความหมายอุปมาว่า “หม้อเงินหม้อทอง” หรือ “ไหเงินไหทอง” อันจะนำมาซึ่งความมั่งคั่ง ร่ำรวย และความสุขในชีวิต ในกรณีที่มอบโคมไหเป็นของขวัญในงานแต่งงาน ยังถือเป็นนิมิตหมายอันดี แสดงถึงพรแห่งโชคลาภและชีวิตคู่ที่เจริญรุ่งเรือง ทั้งนี้ ความเชื่อพื้นบ้านล้านนายังถือว่า บ้านใดมีแสงสว่างจากโคมอยู่เสมอ บ้านนั้นย่อมมีความเป็นสิริมงคล ไม่มืดมน เศร้าหมอง หรือขาดชีวิตชีวา ในปัจจุบัน รูปแบบของโคมไหได้ถูกประยุกต์เป็นโคมไฟประดับตกแต่งภายในบ้าน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้บ้านดูสวยงามและอบอุ่น แต่ยังเป็นการสืบทอดคติความเชื่อพื้นถิ่นที่มีรากฐานจากศิลปวัฒนธรรมล้านนาอีกด้วย 10) โคมเอว (Khom Aeaw) (ภาษาพื้นถิ่นภาคเหนือ เรียก โกมแอว) มีรูปร่างลักษณะเหมือนนำโคมธรรมจักร หรือโคมแปดเหลี่ยมมาซ้อนกันเป็นชั้น และมีส่วนเว้าคล้ายเอว ความนิยมในการใช้โคมในล้านนานั้นมีมาแต่โบราณ ตามหลักฐานการใช้โคมในพุทธศาสนาบนจิตรกรรมฝาผนังในวัดต่างๆ อาทิ จิตรกรรมฝาผนังวัดปราสาท อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นภาพพุทธชาดก เขียนลายคำบนพื้นสีแดงมีภาพโคมที่เรียกว่า โคมเอว 2 ชั้น เป็นการใช้โคมเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ ส่วนบนของโคมมีการตกแต่งด้วยพู่ประดับ เพื่อเพิ่มความวิจิตรงดงาม 5. โคมผัด (Shifting Lantern) โคมผัด เป็นโคมที่มีลักษณะพิเศษคือสามารถหมุนเวียนรอบตัวเองได้โดยอาศัยแรงลมและความร้อนจากเปลวเทียน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากชาวไทยลื้อ มอญ หรือชาวสิบสองปันนา ที่อพยพเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทยและได้นำประเพณีการทำโคมผัดติดตัวเข้ามาด้วย ในอดีต โคมผัดมักตั้งแสดงไว้ในงานประจำปีหรืองานประเพณีตามวัด เพื่อให้ประชาชนเข้าชมความงดงามของเงาที่เคลื่อนไหว คล้ายกับมหรสพพื้นบ้านแทนการชมภาพยนตร์ซึ่งยังไม่มีในยุคนั้น จึงนับเป็นสื่อสร้างสรรค์ที่ทำหน้าที่คล้ายกับหนังตะลุง โคมผัดมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ขนาดโดยประมาณกว้าง 50 เซนติเมตร สูง 70 เซนติเมตร หุ้มด้วยกระดาษสาหรือกระดาษว่าวสีขาว ทำได้ทั้งแบบชั้นเดียวหรือสองชั้น หากเป็นโคมแบบสองชั้น ชั้นในจะมีการติดตั้งภาพกระดาษที่ตัดเป็นรูปคน สัตว์ สิ่งของ หรือรูป 12 ราศีไว้เป็นระยะ ๆ พร้อมกับมีสายหรือซี่โยงจากกรอบเข้าสู่แกนกลาง ซึ่งถูกฝนเป็นรูปตุ่มแหลมคล้ายหัวจรวด วางอยู่ในก้นภาชนะที่มีร่องกลมพอเหมาะ เมื่อจุดเทียนที่ติดตั้งไว้ภายในโคม ความร้อนจากเปลวเทียนจะกระทบแถบกระดาษ และผลักให้ส่วนโครงครอบด้านในหมุนไปได้อย่างช้า ๆ แสงและเงาของภาพที่ติดอยู่จะสะท้อนบนชั้นนอก ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา โคมผัดอาศัยหลักการหมุนเวียนของอากาศ กล่าวคือ เมื่อจุดเทียน ความร้อนจากเปลวเทียนจะทำให้อากาศภายในลอยตัวสูงขึ้น และเกิดแรงดูดให้อากาศเย็นจากภายนอกไหลเข้ามาแทนที่ กลายเป็นกระแสลมอ่อน ๆ ที่ผลักให้โคมหมุนได้ การหมุนของโคมจะทำให้ภาพที่ตัดจากกระดาษปรากฏเคลื่อนไหวเป็นเงาสะท้อนบนฉากโคมด้านนอก คล้ายกับการฉายหนังเงา โคมผัดจึงต้องอาศัยความละเอียดประณีตในการสร้างสรรค์ ทั้งด้านโครงสร้าง กลไก และความแม่นยำของตำแหน่งภาพ ตัวอย่างลวดลายยอดนิยม ได้แก่ ภาพสิบสองราศี สิบสองนักษัตร คนไถนา คนหาบน้ำ วัวควาย ชนไก่ หรือชกมวย ซึ่งมักได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ เป็นพิเศษ ในบางท้องถิ่นเรียกโคมชนิดนี้ว่า “โคมเวียน” โดยจะตั้งไว้กับที่ ไม่เคลื่อนย้าย และใช้สำหรับจัดแสดงในงานเทศกาลยี่เป็งหรือประเพณีท้องถิ่น เพื่อเป็นสื่อสร้างความบันเทิงในรูปแบบดั้งเดิม ทั้งยังเป็นอุบายของผู้ใหญ่ในอดีต ที่ไม่ต้องการให้เด็กออกไปเล่นไกลบ้าน จึงใช้โคมผัดเป็นเครื่องดึงดูดให้เด็ก ๆ อยู่ในบริเวณวัดหรือชุมชน ปัจจุบัน โคมผัดนับว่าเป็นศิลปวัตถุเชิงหัตถกรรมที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมสูง แต่เริ่มสูญหายจากสังคม หากไม่มีการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โคมผัดอาจเหลือเพียงความทรงจำในประเพณีล้านนาเท่านั้น เอกสารอ้างอิง กระทรวงวัฒนธรรม. (2560). ประเพณีลอยโคม. [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://www.m-culture.go.th, [4 ธันวาคม 2560]. นิคม พรหมมาเทพย์. (2542). ผะหญาล้านนา. พิมพ์ครั้งที่สอง. เชียงใหม่ : สำนักพิมพ์มิ่งเมือง. มณี พยอมยงค์. (2543). ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทยรวมเล่ม. พิมพ์ครั้งที่ 2. เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์. สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 6. (2542). ทองแสนขัน, อำเภอ-น้ำพริกอีเก๋, จัดพิมพ์เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนพรรษา 6 รอบ, พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพมหานคร : บริษัท สยามเพรส แมเนจเม้นท์ จำกัด.
โคมล้านนา
ประเภทของโคมล้านนา
1) โคมธรรมจักร (Khom Thammajak)
6) โคมกระบอก (Khom Krabok)